ก่อนอื่นขออธิบายก่อนนะคะ ว่าประกันสุขภาพคืออะไร ? เผื่อบางท่านอาจจะยังไม่รู้จัก เพราะส่วนใหญ่น่าจะได้ยินกันแต่ประกันชีวิต แล้วอะไรคือประกันสุขภาพ มีรูปแบบอย่างไร แตกต่างกับประกันชีวิตตรงไหนเรามาดูกันค่ะ
ประกันชีวิตคือสัญญาที่เราจ่ายเงินเงินจำนวนหนึ่งที่เราได้ยินกันว่า “เบี้ยประกัน” ให้กับบริษัทที่รับประกันชีวิต เมื่อเราเสียชีวิตบริษัทจะจ่ายเงินให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่เราระบุไว้ หรือหากเรามีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญาก็จะได้เงินจำนวนหนึ่งมาตามเงื่อนไขและข้อตกลงในแต่ละสัญญา
ส่วนประกันสุขภาพนั้น ก็คือการที่เราจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับบริษัทที่รับประกันสุขภาพ ตามเงื่อนไขและข้อตกลงในแต่ละแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นบริษัทที่รับประกันชีวิตนั่นแหละจ้า (ลองถามตัวแทนที่เราทำประชีวิตดูได้นะคะว่ามีประกันสุขภาพมั้ย) โดยเมื่อเราเจ็บป่วยหรือมีเหตุต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาล บริษัทที่รับประกันก็จะออกค่ารักษาให้กับเรา ซึ่งเบี้ยประกันสุขภาพส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเบี้ยที่จ่ายทิ้ง คือถ้าเราไม่ได้เจ็บป่วยก็จะไม่ได้รับเงินคืนนะคะ
หลายท่านคงสงสัยว่า เรานั้นจำเป็นต้องมีประกันสุขภาพมั้ย เพราะตอนนี้ร่างกายก็แข็งแรงปกติดีทุกอย่าง บางคนมีสวัสดิการของบริษัทหรือราชการอยู่แล้วด้วย ยังต้องมีประกันสุขภาพอีกหรือ แอดมินไอซ์จึงอยากลองชวนคิดตามกันดูนะคะว่า ถ้าเกิดเราเจ็บป่วยจนต้องไปโรงพยาบาลตอนนี้เราคิดว่าจะจัดการกับค่ารักษาพยาบาลอย่างไร บางคนอาจจะบอกว่าก็ใช้ประกันของบริษัท ใช้สิทธิ์ราชการ ใช้ประกันสังคม ใช้บัตรทองหรือบางคนบอกใช้ประกันสุขภาพที่ทำไว้แล้ว แล้วเรามั่นใจหรือไม่ว่าหลักประกันที่มีอยู่นั้น มันเพียงพอจริงๆ ทั้งในเชิงปริมาณ (วงเงินความคุ้มครอง) และเชิงคุณภาพ (การบริการและเวลาที่ต้องรอคอย)
เราจะรู้ได้ก็เมื่อถามตัวเองว่า ปกติเราใช้บริการโรงพยาบาลใดเป็นประจำ หรือบางท่านไม่เคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเลย สามารถลองหาโรงพยาบาลที่คิดว่าเมื่อเจ็บป่วยจะไปใช้บริการดู ลองสืบหาราคาห้องพักและค่าบริการต่างๆ ดูว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไร จากนั้นลองมาเทียบกับที่เรามีอยู่ว่าเพียงพอหรือขาดอะไรอยู่ เช่น
นาย A อายุ 30 ปี เป็นพนักงานเอกชนแห่งหนึ่ง อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มีหลักประกันสุขภาพคือ ประกันสุขภาพของบริษัทและประกันสังคม ตามรายละเอียดดังนี้
โดยปกติแล้วนาย A จะใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน มีค่าห้องพักคืนละ 4,000 บาท ถ้าดูจากค่าห้องพักแล้วจะมีส่วนที่ขาดอยู่ 2,000 บาท แต่ที่อยากให้ความสำคัญก็คือค่ารักษาพยาบาล ค่าผ่าตัดและค่ารักษาโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง เนื่องจากเป็นรายการที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และอาจต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว จึงอยากให้เราพิจารณาความเสี่ยงในจุดนี้ไว้ด้วย
เมื่อเรานำหลักประกันสุขภาพที่เรามีอยู่มาเทียบแล้ว จะเห็นว่าเรายังมีส่วนขาดอยู่เท่าไร ทำให้เรารู้ว่า ถ้าเกิดต้องเข้าโรงพยาบาลตอนนี้และมีหลักประกันปัจจุบันแบบนี้ เราต้องออกส่วนต่างเท่าไร แล้วเรารับกับส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นนี้ได้หรือไม่ หรือจะทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมในส่วนที่ขาด อาจต้องกลับมาที่ตัวเราเองก่อนนะคะ ว่าหลักประกันสุขภาพแบบเดิมที่เรามีอยู่นั้นเราพอใจอยู่แล้วรึเปล่า เพราะถ้าเราพอใจแล้วและเห็นว่าถ้าเกิดเหตุขึ้นมาเรายอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและจัดการกับส่วนที่ขาดได้ ก็อาจไม่ต้องทำประกันสุขภาพเพิ่ม แต่ถ้าพิจารณาแล้วความเสี่ยงนี้ถ้าเกิดขึ้นจะส่งผลต่อทรัพย์สินของเรา ผมก็แนะนำให้ลองพิจารณาทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมนะคะ
และอีกความเสี่ยงสำคัญที่อยากให้ทุกท่านระวังไว้ คือถ้าเกิดเราไม่ได้ทำงานที่บริษัทแล้ว หรือเมื่อถึงตอนที่เกษียณอายุออกจากบริษัท ประกันสุขภาพของบริษัทก็จะหายไป เราจะจัดการเรื่องหลักประกันสุขภาพของตัวเองอย่างไรบ้าง เพราะโดยปกติแล้ว คนที่จะสามารถทำประกันสุขภาพได้น้้นต้องมี 2 อย่างคือ มีเงิน และ และมีสุขภาพดีเพราะถ้าเรามีประวัติว่าป่วยหรือเคยเป็นโรคมาก่อนแล้ว บริษัทอาจจะไม่รับทำประกัน หรือถ้ารับก็อาจจะมีปรับเพิ่มเบี้ยประกัน หรือรับแต่ไม่คุ้มครองในโรคที่เป็นมาก่อนหน้านั้นๆ ดังนั้นการทำประกันสุขภาพควรทำตั้งแต่ตอนที่ร่างกายยังแข็งแรง ไม่มีโรคภัยจะดีที่สุด นั่นหมายความว่า เราอาจต้องพิจารณาทำประกันสุขภาพด้วยตนเองแม้ในระหว่างที่มีความคุ้มครองจากบริษัทด้วย
สุดท้ายก่อนจะไปพิจารณาว่าหลักประกันสุขภาพของเรานั้นเพียงพอแล้วหรือไม่ อยากให้ทุกคนกลับมาสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพในปัจจุบันของเราก่อน ว่าเราออกกำลังกายเป็นประจำรึเปล่า ทานอาหารมีประโยชน์ถูกสุขลักษณะ นอนหลับเพียงพอ ทำงานไม่เครียดเกินไปรึเปล่า เพราะถ้าเราดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการเจ็บป่วยลงไปได้ค่ะ
หน้าที่เข้าชม | 113,331 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 75,958 ครั้ง |
เปิดร้าน | 21 พ.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ส.ค. 2568 |